ถ้าฉีดยาคุมหลังคลอด 45 วัน จะป้องกันได้เลยไหม

ถ้าฉีดยาคุมหลังคลอด 45 วัน จะป้องกันได้เลยไหม

                เริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนหลังคลอด 45 วัน แล้วผ่านมา 6 วันก็มีเพศสัมพันธ์หลั่งใน จะเสี่ยงตั้งครรภ์อีกมั้ย เพราะยังไม่ครบ 7 วันหลังฉีดเข็มแรก

 

                ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน หรือ Depot Medroxyprogesterone acetate (DMPA) เป็นฮอร์โมนชนิดโปรเจสตินอย่างเดียว จึงเป็นทางเลือกสำหรับคุมกำเนิดในระหว่างที่ให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้เอสโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม

 

                หลังจากที่คลอดบุตรแล้ว ผู้หญิงที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ส่วนใหญ่จะเริ่มมีไข่ตกใน 45 – 94 วันถัดมา แต่บางรายก็อาจมีไข่ตกเร็วกว่านั้นได้ค่ะ

                องค์การอนามัยโลก และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา จึงแนะนำว่า ผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนได้ทันทีหลังคลอด เนื่องจากไม่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ

                ซึ่งต่างจากยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภายใน 3 หรือ 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำได้มากกว่าช่วงเวลาอื่น

 

                ไม่ว่าจะฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนทันที หรือเริ่มฉีดหลังคลอดมาไม่ถึง 21 วัน ก็ถือว่ามีผลป้องกันได้เลย จึงไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วยนะคะ

                ถ้าคลอดมาแล้วตั้งแต่ 21 วันขึ้นไป ในกรณีที่ยังไม่มีประจำเดือนมา หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์ จะเริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนเมื่อไหร่ก็ได้ โดยควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีดยาคุมเข็มแรก

                แต่ถ้าประจำเดือนมาแล้ว ควรรอฉีดภายใน 7 วันแรกที่มีประจำเดือน และจะถือว่ามีผลคุมกำเนิดทันที จึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

 

                สรุปแนวทางในการเริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนสำหรับผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตามคำแนะนำการใช้วิธีคุมกำเนิดขององค์การอนามัยโลก และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา ได้ดังนี้

                การเริ่มฉีดยาคุมหลังคลอดสำหรับผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่3,4

ระยะเวลาหลังคลอด

คำแนะนำ

น้อยกว่า 21 วัน

เริ่มฉีดได้เลย

และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

ตั้งแต่ 21 วันขึ้นไป

ถ้าประจำเดือนยังไม่มา จะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

ถ้าประจำเดือนมาแล้ว ให้เริ่มฉีดภายใน 7 วันแรกที่มีประจำเดือน

และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

 

หรือจะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

 

                อย่างไรก็ตาม ถ้ายึดตาม คู่มือการวางแผนครอบครัว ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงานทางสาธารณสุข จะกำหนดช่วงเวลาเป็น “น้อยกว่า 4 สัปดาห์” และ “ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป” ค่ะ5

 

 

                ในขณะที่ การให้ลูกดูดนมจากเต้าสม่ำเสมอ จะทำให้มีไข่ตกช้ากว่า ดังนั้น หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ก็ควรรอให้คลอดครบ 6 สัปดาห์3,5 หรือ 1 เดือน4 เป็นอย่างน้อย จึงค่อยเริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนนะคะ

                เพราะแม้ยังไม่พบว่าการฉีดยาคุมแบบ 3 เดือน จะส่งผลเสียใด ๆ ต่อการให้นม หรือต่อสุขภาพของทารก แต่งานวิจัยในกลุ่มหญิงให้นมบุตรที่เริ่มฉีดยาคุมชนิดนี้ก่อน 6 สัปดาห์หลังคลอด ยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพ

                และถ้าเทียบกับวิธีคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวรูปแบบอื่น ๆ การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนอาจขับฮอร์โมนออกทางน้ำนมในระดับที่สูงกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจึงมีความเห็นว่า ควรรอให้กระบวนการกำจัดยาของทารกทำงานได้สมบูรณ์ก่อนค่ะ

 

                สรุปแนวทางในการเริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนสำหรับผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตามคำแนะนำการใช้วิธีคุมกำเนิด และคู่มือการวางแผนครอบครัว ขององค์การอนามัยโลก ได้ดังนี้

การเริ่มฉีดยาคุมหลังคลอดสำหรับผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่3,5

ระยะเวลาหลังคลอด

คำแนะนำ

น้อยกว่า 6 สัปดาห์

ควรรอให้ครบ 6 สัปดาห์ก่อนจึงเริ่มฉีด

ตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป

แต่ยังไม่ถึง 6 เดือน

 

ถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว และยังไม่มีประจำเดือนมา

เริ่มฉีดได้เลย

และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

ถ้าไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว

จะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

ถ้าประจำเดือนมาแล้ว ให้เริ่มฉีดภายใน 7 วันแรกที่มีประจำเดือน

และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

 

หรือจะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

ถ้าประจำเดือนยังไม่มา

จะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

ถ้าประจำเดือนมาแล้ว ให้เริ่มฉีดภายใน 7 วันแรกที่มีประจำเดือน

และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย

 

หรือจะเริ่มฉีดเมื่อไหร่ก็ได้หากมั่นใจว่าไม่ตั้งครรภ์

แต่ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ไปอีก 7 วันหลังฉีด

 

                อย่างไรก็ตาม ถ้ายึดตาม คำแนะนำการใช้วิธีคุมกำเนิด ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา คำว่า “6 สัปดาห์” ในตาราง จะถูกปรับเปลี่ยนเป็น “1 เดือน” แทนนะคะ4

                อีกทั้งยังระบุว่า ในกรณีที่จำเป็น ก็สามารถฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนทันที หรือก่อนที่จะครบ 30 วันหลังคลอดได้4 และเริ่มให้ผลป้องกันเลย โดยไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วยค่ะ

 

 

                จากกรณีตัวอย่าง การที่จะตอบได้ว่าถ้าเริ่มฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนหลังคลอด 45 วัน จะให้ผลคุมกำเนิดทันทีหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าผู้ถามมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หรือเปล่านะคะ

                หากผู้ถามเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว และให้ลูกดูดนมจากเต้าสม่ำเสมอทุก 2 – 3 ชั่วโมง หรือไม่เว้นช่วงห่างเกิน 4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และไม่เกิน 6 ชั่วโมงในเวลากลางคืน ก็น่าจะยังไม่มีไข่ตกค่ะ

                และในกรณีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว + ยังไม่มีประจำเดือนมา + ระยะเวลาหลังคลอดยังไม่ถึง 6 เดือน เมื่อฉีดยาคุมเข็มแรกแล้วก็จะถือว่ามีผลป้องกันได้ทันที จึงมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย

                การมีเพศสัมพันธ์หลั่งใน ในระหว่างที่มีผลป้องกันจากยาคุมแบบที่ฉีดทุก 3 เดือน มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมากจนไม่น่าจะกังวลนะคะ นั่นคือ โดยทั่วไป (Typical use) จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 4% แต่ถ้าฉีดยาคุมถูกต้องตรงเวลาสม่ำเสมอ (Perfect use) จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 0.2%5,6

 

                อย่างไรก็ตาม หากผู้ถามไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือมีการป้อนนมอื่นร่วมด้วย ก็อาจมีไข่ตกได้เร็วกว่าค่ะ

                ดังนั้น ในกรณีที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว + เริ่มฉีดยาคุมหลังคลอดตั้งแต่ 21 วันขึ้นไป แม้ผู้ถามจะยังไม่มีประจำเดือนมา ก็ควรงดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไปอีก 7 วันหลังฉีดนะคะ

                ซึ่งถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันไปแล้ว ก่อนที่จะมีผลคุมกำเนิดจากยาฉีด ก็ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ ภายใน 72 ชั่วโมง หรืออย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว

                ยาคุมฉุกเฉินที่มีจำหน่ายในประเทศไทย และอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรล (Levonorgestrel Emergency Contraception; LNG-EC) ซึ่งสามารถใช้ในขณะที่ให้นมบุตรได้

                หากผู้ถามเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สลับกับการป้อนนมอื่น ก็ไม่จำเป็นจะต้องงดให้นม หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลค่ะ (อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง “ให้นมลูก กินยาคุมฉุกเฉินได้ไหม”)

 

 

เอกสารอ้างอิง

  1. Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use, 5th edition. World Health Organization, 2015.
  2. U.S. Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use.Centers for Disease Control and Prevention, 2016.
  3. Selected Practice Recommendations for Contraceptive Use, 3rd edition. World Health Organization, 2016.
  4. U.S. Selected Practice Recommendations for Contraceptive Use. Centers for Disease Control and Prevention, 2016.
  5. Family planning: A Global Handbook for Providers, 2022 edition.
  6. Trussell J, Aiken ARA, Mickes E, Guthrie K. Efficacy, Safety, and Personal Considerations. In: Contraceptive Technology, 21st ed, Hatcher RA, Nelson AL, Trussell J, et al (Eds), Ayer Company Publishers, Inc., New York 2018.