มีเพศสัมพันธ์วันที่ประจำเดือนหมด แฟนสวมถุงยาง แต่ตอนถอดถุงมีน้ำไหลออกมา ด้วยความกังวล เลยกินยาคุมฉุกเฉินแบบ 2 เม็ดภายใน 24 ชั่วโมง ในกรณีนี้ จะต้องกินแบบรายเดือนด้วยมั้ย หรือว่าไม่ต้องก็ได้ แล้วประจำเดือนจะมาอีกรอบหรือเปล่า
การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ นอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดี โดยไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงจากฮอร์โมนใด ๆ แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการคุมกำเนิดชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม หากเกิดความผิดพลาดจากการใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่มั่นใจว่ามีการใช้อย่างถูกต้อง การรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ หรืออย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ก็เป็นการแก้ไขที่เหมาะสมแล้วนะคะ
การใช้ยาคุมแบบรายเดือน ไม่มีผลป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งที่ผ่านมาค่ะ นั่นหมายถึง ต่อให้เริ่มยาคุมแผงแรกในตอนนี้ ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินที่รับประทานไปแล้ว ดังนั้น หากคิดว่าจะสวมถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ก็ไม่ต้องรับประทานยาคุมแบบรายเดือนก็ได้
แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด จากการใช้ถุงยางอนามัย ไปเป็นการรับประทานยาคุมรายเดือน หรือต้องการใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน ก็สามารถเริ่มยาคุมแผงแรกได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมาก่อนนะคะ
และถ้าเริ่มยาคุมแผงแรกไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จะต้องรับประทานติดต่อกันให้ครบ 7 วัน (หรือ 2 วันสำหรับ “เอ็กซ์ลูตอน”, “เดลิต้อน”, “ซีราเซท” และ 9 วันสำหรับ “ไคลรา”) ถึงจะเริ่มมีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือน ในช่วงแรกจึงควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไปก่อน
ยาคุมฉุกเฉินที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบ 2 เม็ด ได้แก่ “โพสตินอร์”, “มาดอนน่า”, “แมรี่ พิงค์”, “แอปคาร์ นอร์แพก”, “เลดี้นอร์”, “แจนนี่”, “เอ-โพสน็อกซ์” หรือจะเป็นแบบ 1 เม็ด ได้แก่ “เมเปิ้ล ฟอร์ท”, “แทนซี วัน”, “มาดอนน่า วัน” เป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรล (Levonorgestrel) ทั้งหมดค่ะ ซึ่งไม่มีปัญหาหากใช้ร่วมกับยาคุมรายเดือน จึงสามารถเริ่มรับประทานได้ทันที
แต่ถ้ารับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยายูลิพริสทอล อะซีเตท (Ulipristal acetate) ที่มีใช้ในบางประเทศ ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 5 วัน (หรือเท่ากับ 120 ชั่วโมง) ก่อนจะเริ่มใช้ยาคุมรายเดือน หรือฮอร์โมนคุมกำเนิดใด ๆ เพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดฉุกเฉินลดลงนะคะ
ซึ่งมีคำแนะนำจากคณะอนามัยเจริญพันธุ์และสุขภาวะทางเพศ สหราชอาณาจักร (FSRH) เกี่ยวกับการเริ่มยาคุมแผงแรกหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน เผื่อไว้ในกรณีที่ล้มเหลวในการป้องกัน และเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา ว่าควรหลีกเลี่ยงยาคุมที่ใช้ฮอร์โมนไซโปรเทอโรน อะซีเตท (Cyproterone acetate) เพราะมีรายงานความผิดปกติแบบอวัยวะเพศกำกวมกับตัวอ่อนเพศผู้ในสัตว์ทดลอง
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามการใช้จริงในมนุษย์ ก็ยังไม่พบความผิดปกติใดในทารกที่มารดาใช้ยาคุมสูตรนี้อยู่ก่อนจะทราบว่าตั้งครรภ์ค่ะ
หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอยภายใน 7 วัน หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ นั่นเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยา และไม่ได้เป็นสิ่งชี้วัดว่าจะป้องกันได้ผลหรือไม่
หากไม่มีการตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่ จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนเพียงไม่กี่วันค่ะ
แต่ถ้ามีการใช้ยาคุมรายเดือนร่วมด้วย ประจำเดือนก็จะมาในช่วงปลอดฮอร์โมน นั่นคือ ถ้าใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ด เมื่อรับประทานหมดแผงแล้วก็จะเว้นว่างเป็นช่วงปลอดฮอร์โมน 7 วันก่อนต่อยาคุมแผงใหม่ ประจำเดือนจะมาในช่วงที่เว้นว่าง โดยมักจะมาประมาณวันที่ 3 – 4 ของการเว้นว่าง หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
ส่วนการใช้ยาคุมแบบ 28 เม็ด ประเภทที่มีทั้งเม็ดยาฮอร์โมนและเม็ดยาหลอกอยู่ในแผง ประจำเดือนจะมาในช่วงที่รับประทานเม็ดยาหลอก ซึ่งถือเป็นช่วงปลอดฮอร์โมนนั่นเองนะคะ โดยมักจะมาตรงกับวันที่ใช้เม็ดยาหลอกเม็ดที่ 3 – 4 โดยประมาณ หรืออาจคลาดเคลื่อนจากนั้นเล็กน้อยค่ะ
เอกสารอ้างอิง
- Selected Practice Recommendations for Contraceptive Use, 3rd edition. World Health Organization, 2016.
- U.S. Selected Practice Recommendations for Contraceptive Use. Centers for Disease Control and Prevention, 2016.
- FSRH guideline: Quick Starting Contraception (April 2017).
- Family Planning: A Global Handbook for Providers (2022 update).
- Emergency Contraceptive Pills: Medical and Service Delivery Guidance 4th edition, 2018.
- AAP Committee on Adolescence: Emergency Contraception, 2019.