เริ่มเผยแพร่
ปรับปรุงล่าสุด
ยาคุม “ไมนอซ” (Minoz) เป็นยาคุมสูตรเดียวกันกับ “มินิดอซ” (Minidoz) นั่นเองนะคะ โดยมีรูปแบบเป็น Extended-cycle 24/4 regimen นั่นก็คือ ในแผง 28 เม็ดจะมี เม็ดยาฮอร์โมน (เม็ดสีเหลือง) จำนวน 24 เม็ด และ เม็ดยาหลอก (เม็ดสีเขียว) จำนวน 4 เม็ด
โดยที่ เม็ดยาฮอร์โมน แต่ละเม็ดจะประกอบไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ Ethinyl estradiol 0.015 มิลลิกรัม และฮอร์โมนโปรเจสติน คือ Gestodene 0.060 มิลลิกรัม เหมือนกันทั้ง 24 เม็ด
ส่วน เม็ดยาหลอก 4 เม็ดนั้น เป็นเพียงเม็ดแป้ง ไม่มีตัวยาฮอร์โมนใด ๆ ค่ะ ผู้ผลิตจัดทำมาไว้ให้รับประทานในช่วงปลอดฮอร์โมน เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ลืมต่อยาคุมแผงใหม่ตามกำหนด
เนื่องจากมีปริมาณ Ethinyl estradiol ไม่เกิน 0.020 มิลลิกรัม “ไมนอซ” จึงจัดเป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม ประเภทฮอร์โมนต่ำมาก (Ultra low dose pills) และยังเป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมสูตรที่มีเอสโตรเจนต่ำที่สุดในปัจจุบันอีกด้วยนะคะ
เพราะมีปริมาณฮอร์โมนที่ต่ำมาก ผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ไม่ว่าจะเป็นคลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศีรษะ, บวมน้ำ หรือการเกิดฝ้า จึงพบได้น้อยมาก
ส่วนโปรเจสตินอย่าง Gestodene แม้ว่าจะมีฤทธิ์แอนโดรเจนอยู่ แต่เมื่อมีการใช้ในปริมาณที่น้อยมาก และต่ำกว่ายาคุมสูตร Gestodene ยี่ห้ออื่น ๆ จึงพบผลข้างเคียงเรื่องสิว, หน้ามัน หรือขนดกได้น้อยมากเช่นกัน
แม้ว่า Gestodene จะมีผล Antimineralocorticoid เมื่อศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่ในมนุษย์ที่ใช้ยาคุมสูตรนี้กลับพบผลดังกล่าวน้อยมากหรือไม่มีเลย “ไมนอซ” จึงไม่จัดเป็นยาคุมที่มีผลต้านการบวมน้ำค่ะ
หากเทียบกับยาคุมฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ดส่วนใหญ่ ซึ่งมีเม็ดยาหลอก 7 เม็ด จะเห็นได้ว่า “ไมนอซ” จะมีช่วงปลอดฮอร์โมนสั้นกว่า เนื่องจากมีเม็ดยาหลอกเพียง 4 เม็ดเท่านั้น
การที่ “ไมนอซ” มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำมากและมีช่วงปลอดฮอร์โมนสั้น ๆ เพียงแค่ 4 วัน ช่วยให้ระดับฮอร์โมนในช่วงที่ได้รับฮอร์โมนและช่วงที่ปลอดฮอร์โมนไม่แปรปรวนมาก ลดปัญหาประจำเดือนมามากผิดปกติและกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome; PMS) เช่น อารมณ์แปรปรวน, หงุดหงิด, ซึมเศร้า, เครียด, ปวดศีรษะ, ปวดประจำเดือน หรือเจ็บคัดตึงเต้านม
อย่างไรก็ตาม การที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำมาก ก็อาจพบปัญหาเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ โดยเฉพาะถ้ารับประทานไม่ตรงเวลา
ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือการมีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) ตั้งแต่ 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป ก็สามารถใช้ “ไมนอซ” ได้นะคะ
เนื่องจากหลักฐานส่วนใหญ่ในปัจจุบันบ่งชี้ว่า ปัจจัยดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ของยาเม็ดคุมกำเนิด เหมือนที่เคยกังวลกันในอดีต หากผู้ใช้ยาคุมรับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ
ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมที่ใช้ Gestodene อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดได้มากกว่า Levonorgestrel, Norethisterone หรือ Norgestimate
แต่ถ้าเปรียบเทียบยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมที่ใช้โปรเจสตินตัวเดียวกัน สูตรที่ใช้ Ethinyl estradiol น้อยกว่า มีแนวโน้มว่าความเสี่ยงจะต่ำกว่าค่ะ
ดังนั้น “ไมนอซ” ซึ่งมี Ethinyl estradiol 0.015 มิลลิกรัม อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ยาคุมฮอร์โมนรวมที่มี Ethinyl estradiol และ Gestodene (หรือ ยาคุมสูตร EE/GSD) เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว
แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัว, ผู้ที่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะถ้ามีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป, ผู้ที่ต้องการใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ นอกเหนือจากการคุมกำเนิด หรือผู้ที่รับประทานยาหรือสมุนไพรใด ๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้นะคะ
เพราะแม้จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำมาก แต่หากมีการใช้อย่างไม่เหมาะสมก็อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ, เนื้องอกหรือมะเร็งบางชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ หรือการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง/โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
และการใช้ร่วมกับยาหรือสมุนไพรบางอย่าง ก็อาจลดประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
“ไมนอซ” เป็นยาที่ผลิตภายในประเทศ โดยบริษัทมิลลิเมด จำกัด (Millimed Co.,Ltd.) มีราคาประมาณแผงละ 110 – 140 บาท ถูกกว่า “มินิดอซ” ที่นำเข้าจากต่างประเทศและเป็นต้นแบบของยาคุมสูตรนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีสติ๊กเกอร์ “แถบช่วยจำสำหรับวันเริ่มรับประทานยา” แถมมาในกล่อง ดังนั้น หากพิจารณาในแง่ของรูปแบบและวิธีใช้ “ไมนอซ” อาจไม่สะดวกสำหรับการตรวจสอบประจำวันเหมือนกับ “มินิดอซ” ค่ะ
เอกสารอ้างอิง
- FSRH Guideline: Combined Hormonal Contraception. Faculty of Sexual & Reproductive Healthcare, January 2019. (Amended July 2023)
- FSRH Guideline: Overweight, Obesity & Contraception. Faculty of Sexual & Reproductive Healthcare, April 2019.
- U.S. Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use. Centers for Disease Control and Prevention, 2016.
- Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use, 5th edition. World Health Organization, 2015.